การใช้ความรุนแรง เป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และคนส่วนใหญ่มักนึกถึงภาพความรุนแรงต่อเด็กและสตรีเป็นการการทำร้ายร่างกาย หรือการข่มขืน แต่ความจริงแล้วปัญหาความรุนแรงไม่ได้มีอีกหลายรูปแบบ ได้แก่ ความรุนแรงทางด้านร่างกาย เช่น การทุบตีทำร้ายร่างกาย ตบ เตะ ต่อย การใช้อาวุธ เป็นต้น ความรุนแรงทางด้านจิตใจ เช่น การใช้คำพูด กิริยา หรือการกระทำที่เป็นการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ด่าว่าให้อับอาย การกลั่นแกล้ง ทรมานให้เจ็บช้ำน้ำใจ การบังคับ ข่มขู่ กักขัง ควบคุม ไม่ให้แสดงความคิดเห็น การหึงหวง การเลือกปฏิบัติ การเอารัดเอาเปรียบ การตักตวงผลประโยชน์ การถูกทอดทิ้ง ไม่ได้รับการเอาใจใส่เลี้ยงดู เป็นต้น ความรุนแรงทางเพศ เช่น การถูกละเมิดทางเพศ การพูดเรื่องลามกอนาจาร การแอบดู การจับต้องของสงวน การบังคับให้เปลื้องผ้า รวมไปถึงการกักขัง หน่วงเหนี่ยว อิสรภาพ บังคับให้มีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น
สาเหตุของการใช้ความรุนแรงมักเกิดมาจากลักษณะส่วนตัวของผู้กระทำความรุนแรงที่ได้รับการหล่อหลอมมาจากครอบครัว เช่น นิสัยที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก เลียนแบบพ่อ แม่ที่ชอบใช้ความรุนแรง หรือได้แบบอย่างจากหนังสือ โทรทัศน์ ครอบครัวขาดความอบอุ่น หรืออาจเจ็บป่วยด้วยโรคบางอย่าง ทำให้ควบคุมตนเองไม่ได้ เช่น โรคจิต โรคประสาท ฯลฯ ซึ่ง ปัญหาความรุนแรง ส่วนใหญ่จะยึดโยงกับปัญหาครอบครัว เพราะครอบครัวเป็นสถาบันหลักของสังคม ขณะที่ปัญหาครอบครัวก็เกี่ยวพันกับปัญหาทางจิตด้วย
ดังนั้นการป้องกันและแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ครอบครัว จึงควรเริ่มต้นที่การเลี้ยงดูจากครอบครัว สมาชิกในครอบครัวต้องปฏิบัติต่อกันด้วยความรัก ความอบอุ่น ได้ทำกิจกรรมร่วมกัน ผูกพัน เข้าใจ เห็นใจ ไม่ควรจะทะเลาะกันรุนแรง สามีไม่ควรตีภรรยา ภรรยาก็ไม่ควรทำอะไรสามี ไม่กระทบกระทั่ง ด่าทอ เสียดสี หรือตัดสินปัญหาด้วยการทุบตี ชกต่อย เพราะครอบครัวเป็นตัวช่วยหลักในการปลูกฝังรากฐานจิตใจ นิสัย และทัศนคติที่ดีให้กับทุกคน พร้อม ๆ กับสอนให้มีความเกื้อกูล เคารพสิทธิความเสมอภาคระหว่างชายและหญิง เพื่อร่วมกันปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องเหมาะสม ให้สังคมได้รับรู้ว่าปัญหาการกระทำรุนแรงต่อเด็กและสตรีไม่ใช่แค่เรื่องส่วนตัวอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องที่ทุก ๆ คนในสังคมต้องช่วยกัน
#white #ribbon #ยุติความรุนแรง #เด็ก #สตรี #บุคคลในครอบครัว #Family #stopviolence